วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558

โครงงาน EM BALL

โครงงาน EM BALL



ประโยชน์ที่ได้จากการทำโครงงาน
1.ได้รับรู้ความรู้การทำ EM BALL และประโยชน์ EM BALL
2.ทำให้เกิดการพัฒนาความคิด และรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3.ได้มีงานฝีมือในการประดิษฐ์อุปกรณ์การเกษตรและสามารถใช้ได้จริง
4.ทำให้รู้จักการแบ่งเวลา และการตรงต่อเวลา
5.ได้รู้จักการทำรูปเล่มรายงานทำให้มีความคิดแลกเปลี่ยนภายในกลุ่ม

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

คำศัพท์ทรัพย์สินทางปัญญา

1.Mark = สัญลักษณ์
2.Product = ผลิต
3.Patent = สิทธิบัตร
4.Sold = ขาย
5.Bought = ซื้อ
6.People = ประชาชน
7.Piracy = การละเมิดลิขสิทธ์
8.Copyright = ลิขสิทธ์
9.Mathematical Symbols = สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์
10.Imprisonment up to 1 year = การจำคุก 1 ปี
11.Protection =การป้องกัน
12.Education = การศึกษา
13.Communication = การติดต่อสื่อสาร
14.Recorded = บันทึก
15.Manufacture = การผลิต
16.Information = ข้อมูล
17.Wisdom = ความรู้
18.Invalid = ไม่ถูกต้อง
19.Trademark = สัญลักษณ์ทางการค้า
20.Foreign = ต่างประเทศ





วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สรุปขั้นตอนการแนบไฟล์ใส่บล็อก

1.เลือกหัวข้อที่เราจะทำงาน
2.เข้าหาข้อมูลในอินเทอร์เนตพร้อมค้นหารูปภาพ
3.และนำข้อมูลนั้นไปเข้าใน Microsoft word และตกแต่งใบงาน
4.เซฟข้อมูลนี้เป็นข้อมูลปกติ 1 อัน
5.เข้าอินเทอร์เนตและดาวน์โหลด Microsoft PDF มาลงในเครื่อง

6.นำงานที่เราเคยเซฟใน Word  มาเซฟอีกทีเป็นไฟล์ PDF
7.เข้าอินเทอร์เนตเข้าใน Slide Share
8.กด Up load แล้วเลือกไฟล์ Microsoft PDF แล้วกดอัพโหลด

9.เมื่อกดอัพโหลดแล้วกด ที่เป็รูปคนที่มุมขวาบน แล้วเลือก My Up Load

10.แล้วดับเบิ้ลคลิ้กที่ไฟล์งานที่เรา อัพลง

11.แล้วกด Embed This Document <>

12.คัดลอกลิ้งที่ Embed แล้วเข้ามาใน Blogger

13.ในบล้อกเก้อจะมีคำว่าเขียน และ HTML กดเลือก HTML แล้วกดลงลิ้ง
14.แล้วกดเผยแพร่ก็จะเสร็จเรียบร้อย >o<

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ใบงานที่ 3

1.เลือกเว็บbrowserที่ชอบมา1เว็บ
   Windows Explorer

 2.ลงรายละเอียดเกี่ยวกับเว็บนั้นๆ

วินโดวส์ อินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์ (อังกฤษ: Windows Internet Explorer) (ก่อนนี้เรียกว่า ไมโครซอฟท์ อินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์) โดยมีชื่อย่อว่า ไออี (IE) เป็นเว็บเบราว์เซอร์ของไมโครซอฟท์และเป็นซอฟต์แวร์ที่มีให้พร้อมกับระบบปฏิบัติการวินโดวส์
ไออีเป็นเว็บเบราว์เซอร์ที่มีนิยมคนนิยมใช้มากเป็นตัวหนึ่ง โดยในปี 2545 มีสัดส่วนการใช้งานในตลาดเว็บเบราว์เซอร์ประมาณ 95% และมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากมีคู่แข่งที่เพิ่มมากขึ้นจนถึงประมาณ 46% ในปี พ.ศ. 2554 รุ่นล่าสุดคือรุ่น อินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์ 11ซึ่งสามารถใช้ได้สำหรับ วินโดวส์ 7,และ วินโดวส์เซิร์ฟเวอร์ 2008 วินโดวส์ 8 วินโดวส์เซิรฟเวอร์ 2012 วินโดวส์ 8.1 และ วินโดวส์เซิรฟเวอร์ 2012 R2
รุ่นของอินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์สำหรับระบบปฏิบัติการอื่นมีหลากหลาย เช่นอินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์โมเบิลสำหรับโทรศัพท์มือถือและสมาร์ตโฟน พัฒนาต่อบนพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์ 7 ใช้งานในวินโดวส์โฟน 7 และ วินโดวส์ CE นอกจากนี้ยังมีหลายรุ่นที่หยุดการพัฒนาไปเช่น อินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์สำหรับแม็ค อินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์สำหรับยูนิกซ์ ที่ใช้ในโซลาริส และ เอชพี-ยูเอกซ์
10 เทคนิคการใช้งาน Internet Explorer
เป็นเทคนิคการใช้ Keyboard เพื่อให้การใช้งาน Internet Explorer มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและรวดเร็วมากขึ้น   
1. แสดงพื้นที่บน Internet Explorer ให้มากที่สุด
ให้กด F11 เพื่อขยายเต็มหน้าจอ กดอีกครั้งจะเป็นการกลับสู่สภาพเดิม
2. ค้นหาข้อมูลใน Web page ที่กำลังใช้งาน
เราสามารถ Search ข้อมูลใน Web page ที่กำลังเข้าไปดูอยู่ได้ โดยการกด Ctrl+F
3. ปุ่มใดแทนคำสั่ง Back ได้
ปุ่ม Backspace ใน Keyboard สามารถใช้แทนคำสั่ง Back เวลาใช้งานอินเทอร์เน็ตได้
4. ปิด Windows อย่างรวดเร็ว
คุณสามารถกดปุ่ม Ctrl+W เพื่อปิด Windows ที่กำลังใช้งานอยู่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องคลิกปุ่ม Close
5. ดู Address Bar ว่าไปที่ไหนมาบ้าง
Address Bar คือตำแหน่งที่ใช้ในการพิมพ์ URL ของ Website ต่างๆ เราสามารถดูย้อนหลังได้ว่าเคยพิมพ์อะไรไปบ้าง โดยการกด F4
6. Save URL ให้เร็วที่สุด
กดปุ่ม Ctrl+D เพื่อ Save ที่อยู่ Website ที่กำลังดูอยู่ในปัจจุบัน (เพื่อสะดวกในการเข้าชมในครั้งต่อไป)
7. ส่ง Web page ถูกใจไปให้เพื่อน
Web page ต่างๆ ที่เรากำลังเข้าชม สามารถส่งไปให้เพื่อนดูได้ เพียงแค่เลือกเมนู File เลือก Send แล้วเลือกหัวข้อ Page by E-mail
8. เลื่อนดูหน้า Web page อย่างรวดเร็ว
คุณสามารถใช้ปุ่ม Home หรือ End ที่ Keyboard แทนการลากเมาส์เพื่อเลื่อนดูหน้า Web page ด้านบนสุด หรือด้านล่างสุด
9. อยาก Save ภาพเป็น Wallpaperให้คลิกขวาที่บริเวณภาพที่เราต้องการ  จากนั้นเลือกคำสั่ง Set as Background
10. เลื่อนขึ้น-ลง ทีละนิด
คุณสามารถใช้ปุ่ม Page Up หรือ Page Down ที่ Keyboard เลื่อนดู Web page ทีละส่วนแทนการใช้เมาส์ได้
 3.ภาพประกอบ


























 4.แหล่งอ้างอิง




browser

1.เว็บเบราเซอร์ (web browser) หมายถึงอะไร
เว็บเบราว์เซอร์ (อังกฤษweb browserเบราว์เซอร์ หรือ โปรแกรมค้นดูเว็บ คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเวบที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล ที่จัดเก็บไว้ที่เว็บเซอร์วิซหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์หรือระบบคลังข้อมูลอื่น ๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเวิลด์ไวด์เว็บ




2.การทำงานของเว็บเบราว์เซอร์
โปรแกรมค้นดูเว็บเชื่อมโยงกับเว็บเซิร์ฟเวอร์ผ่านมาตรฐานหรือโพรโทคอลการรับส่งข้อมูลแบบ เอชทีทีพี ในการส่งหน้าเว็บ หรือเว็บเพจ ปัจจุบันเอชทีทีพีรุ่นล่าสุดคือ 1.1 ซึ่งสนับสนุนโดยโปรแกรมค้นดูเว็บทั่วไป ยกเว้นอินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์ที่ยังสนับสนุนไม่เต็มที่

3.ตัวอย่างเว็บเบราว์เซอร์ มา 3 โปรแกรม
   Google Chrome
   Windows Explorer

Madfox



วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ประวัติอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย

ประวัติความเป็นมาของอินเทอเน็ตในประเทศไทย
อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย

การเชื่อมต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ตของประเทศไทยมีจุดกำเนิดมาจากเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระหว่างมหาวิทยาลัย หรือที่เรียกว่า "แคมปัสเน็ตเวอร์ก" ( Campus Network ) เครือข่ายดัง กล่าวได้รับการสนับสนุนจาก "ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ" ( NECTEC ) จนกระทั่งได้ เชื่อมเข้าสู่อินเทอร์เน็ตโดยสมบูรณ์ในเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ.2535 พัฒนาการ ประเทศไทยได้เริ่มติดต่อกับอินเทอร์เน็ตโดยใช้ E-mail ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 โดยเริ่มที่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่" เป็นแห่งแรก และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ภายใต้ความร่วมมือระหว่างไทยและออสเตรเลียในช่วงเวลาต่อมา ในขณะนั้นยังไม่ได้มีการเชื่อมต่อ แบบ On-line หากแต่เป็นการแลกเปลี่ยนข่าวสาร ด้วย E-mail โดยใช้ระบบ MSHnet ละ UUCP โดยทางออสเตรเลียจะโทรศัพท์เชื่อมเข้ามาสู่ระบบวันละ 2 ครั้ง ในปีถัดมา NECTEC ซึ่งอยู่ภายใต้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการพลังงาน ( ชื่อเดิมในขณะนั้น ) ได้จัดสรรทุนดำเนินโครงการ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ของสถาบันอุดมศึกษา โดยแบ่ง โครงการออกเป็น 2 ระยะ การดำเนินงานใน ระยะแรกเป็นการเชื่อมโยง 4 หน่วยงาน ได้แก่
- กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ
- จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย
- สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าวิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ระยะที่สองเป็นการเชื่อมต่อสถาบันอุดมศึกษาที่เหลือ คือ
- มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
- มหาวิทยาลัยมหิดล
- มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
- สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าวิทยาเขตธนบุรี
- สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าวิทยา เขตพระนครเหนือ
- มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่




เดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2534 คณะทำงานของ NECTEC ร่วมกับกลุ่มอาจารย์และ นักวิจัยจากสถาบันอุดมศึกษาได้ก่อตั้งกลุ่ม NEWgroup ( NECTEC E-mail Working Group) เพื่อ ประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้วย E-mail โดยยังคงอาศัยสถาบัน เทคโนโลยีแห่งเอเชียเป็นทางออกสู่อินเทอร์เน็ตผ่านทางออสเตรเลีย ปี พ.ศ.2538 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้เป็นปีแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศ(Information Technology Year ) เนื่องจากตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารข้อมูลใน ขณะเดียวกันก็มีการดำเนินการจัดวางเครือข่ายความเร็วสูงโดยใช้ใยแก้วนำแสงเพื่อใช้เป็นสายสื่อสาร ไทยสาร เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2535 สำนักวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เช่าวงจร สื่อสารความเร็ว 9600บิตต่อวินาที จากการสื่อสารแห่งประเทศไทยเพื่อเชื่อมเข้าสู่อินเทอร์เน็ตที่ "บริษัท ยูยูเน็ตเทคโนโลยี ประเทศสหรัฐอเมริกา" ภายใต้ข้อตกลงกับ NECTEC ในการพัฒนาเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของสถาบันอุดมศึกษาเพื่อร่วมใช้วงจรสื่อสาร จนกระทั่งในเดือนธันวาคมปีเดียวกันมีหน่วยงาน 6 แห่งที่ เชื่อมต่อแบบ On-lineโดยสมบูรณ์ ได้แก่ NECTEC ,จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ,สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ,มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เครือข่ายที่ก่อตั้งมี ชื่อว่า "ไทยสาร" ( Thaisarn : Thai Social/scientific ,Academic and Research Network ) หรือ "ไทยสารอินเทอร์เน็ต" ในปี พ.ศ. 2536 NECTEC ได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 64 กิโลบิตต่อวินาทีจากการสื่สารแห่งประเทศไทยเพื่อ เพิ่มความสามารถในการขนส่งข้อมูล ทำให้ประเทศไทยมีวงจรสื่อสารระดับ ที่ให้บริการแก่ผู้ใช้ไทยสารอินเทอร์เน็ต 2 วงจร ในปัจจุบันวงจรเชื่อมต่อไปยังต่างประเทศที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ NECTEC ได้รับการปรับปรุงให้มีความ เร็วสูงขึ้นตามลำดับ นับตั้งแต่นั้นมาเครือข่ายไทยสารได้ขยายตัวกว้างขึ้น และมีหน่วยงานอื่นเชื่อมเข้ากับ ไทยสารอีกหลายแห่งในช่วงต่อ มากลุ่มสถาบันอุดมศึกษาประกอบด้วย สำนักวิทยบริการ จุฬาฯ ,สถาบันเทค- -โนโลยีแห่งเอเชีย,มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญได้ร่วมตัวกันเพื่อแบ่งส่วนค่าใช้จ่ายวงจร สื่อสาร โดยเรียกชื่อกลุ่มว่า "ไทยเน็ต" ( THAInet ) สมาชิกส่วนใหญ่ของไทยสาร คือ สถาบันอุดมศึกษา กับหน่วยงานราชการบางหน่วย งาน และ NECTECยังเปิดโอกาสให้กับบุคลากรของหน่วยงานราชการที่ยังไม่มีเครือข่ายภายในเป็นของตัว เองมาขอใช้บริการได้ แต่ทว่ายังมีกลุ่มผู้ที่ต้องการใช้บริการอินเทอร์เน็ตอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งบริษัทเอกชนและบุคคลทั่วไปซึ่งไม่สามารถใช้บริการ จากไทยสารอินเทอร์เน็ตได้ ทั้งนี้เพราะไทยสารเป็นเครือข่ายเพื่อการศึกษาและวิจัยที่ใช้เงินงบประมาณอุดหนุนจากรัฐภาย ใต้ข้อบังคับของกฏหมายด้านการสื่อสารจึงไม่สามารถให้นิติบุคคลอื่นร่วมใช้เครือข่ายได้


วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2558

งานคู่

นายสิปปภาส วัฒนภินันท์ชัย ม.5/2 เลขที่ 3 




นายนรวีร์ สุทัศน์ณ อยุธยา    ม.5/2 เลขที่ 4






วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2558

คำสั่งแทรกรูปภาพ

<html>
<head>
<title> การแทรกรูปภาพ </title>
</head>
<body>
   <center> รูปภาพเจ้าของ  </center>

<center><img src="donal.jpg"width="300" height="200" aligh=middle border="5"alt="รูปเจ้าของ"></center>

<center><img src="m1fxfqjobbwz.jpg"width="300 height="200" aligh=middle border="5"alt="รูปเจ้าของ"></center>
<center><img src="Cartoon_Animation_75.gif"width="50 height="50" aligh=middle border="3"alt="รูปเจ้าของ"></center>


</body>
</html>

แต่ img src="ต่อจากนั้นจะเอารูปมาใส่คือต้องเป็นชื่อของรูปภาพในโฟลเดอร์ของเรา"



ก็จะได้รูปยังงี้ครับ >0<


วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2558

ใบงาน HTML

จงยกตัวอย่างคำสั่ง HTML ยกตัวอย่างมา 5 คำสั่ง
1.<b> ข้อความ </b> ตัวอักษรหนา
2.<i> ข้อความ </i> ตัวอักษรเอน
3.<u> ข้อความ </u> ขีดเส้นใต้ตัวอักษร
4.<br> คำสั่งขึ้นบรรทัดใหม่
5.<CENTER> ข้อความ </CENTER> คำสั่งจัดให้ข้อความอยู่กึ่งกลาง





วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558

ใบงานที่ 6

1.หลักการเขียนภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึงอะไร
ตอบ.การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือเรียกให้สั้นลงว่า การเขียนโปรแกรม  หรือ การเขียนโค้ด (Coding) เป็นขั้นตอนการเขียน ทดสอบ และดูแลซอร์สโค้ดของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งซอร์สโค้ดนั้นจะเขียนด้วยภาษาโปรแกรม ขั้นตอนการเขียนโปรแกรมต้องการความรู้ในหลายด้านด้วยกัน เกี่ยวกับโปรแกรมที่ต้องการจะเขียน และขั้นตอนวิธีที่จะใช้ ซึ่งในวิศวกรรมซอฟต์แวร์นั้น การเขียนโปรแกรมถือเป็นเพียงขั้นหนึ่งในวงจรชีวิตของการพัฒนาซอฟต์แวร์



2.โปรแกรมแปลภาษาคืออะไร
   ตอบ. โปรแกรมแปลภาษา เป็นซอฟต์แวร์หรือชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่แปล Source Program ให้เป็น Object Program เนื่องจากภาษาระดับต่ำและภาษาระดับสูงเป็นภาษา ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถรับรู้ได้ จำเป็นต้องมีชุดคำสั่งที่ใช้เป็นตัวแปลภาษา ให้เป็นภาษาเครื่องเสียก่อน ซึ่งโปรแกรมแปลภาษาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
     1. ตัวแปลภาษาระดับต่ำ
ภาษาระดับต่ำแม้ว่าจะเป็นภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษาเครื่อง แต่ลักษณะ ของภาษานี้ได้ใช้ตัว อักษรแทนชุดคำสั่งของเลขฐานสองในภาษาเครื่อง จึงจำเป็นต้องมีชุดคำสั่งที่ใช้แปลภาษาระดับต่ำ ให้เป็นภาษาเครื่อง ซึ่งชุดคำสั่งที่ใช้แปลภาษาระดับต่ำนี้ ได้แก่ โปรแกรมภาษาแอสแซมเบลอร์ Assembler) ที่ใช้ตัวแปลภาษาที่เรียกว่า แอสเซมบลี
     2. ตัวแปลภาษาระดับสูง
ภาษาระดับสูงเป็นภาษาที่เขียนขึ้นมาเพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ ทำงานโดยใช้คำสั่งที่มนุษย์อ่านและเข้าใจได้แต่คอมพิวเตอร์ไม่สามารถเข้าใจได้ จึงต้องมีชุดคำสั่งที่ใช้แปลภาษาระดับสูง ให้เป็นภาษาเครื่อง ซึ่งโปรแกรมแปลภาษา ระดับแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
         2.1 คอมไพเลอร์ (Compiler) เป็นโปรแกรมที่ใช้แปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง ลักษณะการแปลภาษาระดับสูงของคอมไพเลอร์นั้น เป็นลักษณะการตรวจสอบคำสั่งที่ รับเข้ามาว่าการเขียนคำสั่ง นั้นถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ของภาษาหรือไม่ ถ้ายังไม่ถูกต้องก็จะแจ้งข้อผิดพลาด ให้ผู้ใช้ทราบ เพื่อจะได้ทำการแก้ไข ให้ถูกต้อง ถ้
       2.2 อินเตอร์พลีตเตอร์ (Interpreter) เป็นโปรแกรมที่ใช้แปลภาษาระดับสูงให้เป็น ภาษาเครื่อง โดยทำการแปลชุดคำสั่งที่นำเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ทีละคำสั่ง และทำการประมวลผลทันที โดยไม่ต้องทำให้เป็น Object Program ถ้าหากพบข้อผิดพลาด โปรแกรมจะหยุดทำงานทันที เมื่อทำการแก้ไขเพิ่มเติมชุดคำสั่งก็ต้อง แปลคำสั่งที่แก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง




3.ตัวอย่างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่เขียนด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ 1 โปรแกรม
 ตอบ .ภาษา Prolog (PROgramming in LOGic) เป็นอีกภาษาที่นิยมใช้ในการสร้างระบบผู้เชี่ยวชาญ ( Artificial Intelligence) เพราะเหมาะสำหรับใช้แสดงความรู้ ( Knowledge Representation) โดยนำความรู้มาเขียนในรูปของ อนุประโยค ( Clause) ซึ่งเป็นภาษาคู่แข่งกับภาษา Lisp พัฒนาโดย Colmerauer แห่ง University of Marseilles ในปี 1970 จากนั้น Clocksin กับ Mellish จาก University of Edinburgh ได้นำมาพัฒนาเพื่อใช้งานต่อ





วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

ใบงานที่ 5

การเขียนผังงานหมายถึง
1.ความหมาย
ตอบ.ความหมายของผังงาน ผังงาน (Flowchart) คือ รูปภาพ (Image) หรือสัญลักษณ์(Symbol) ที่ใช้เขียนแทนขั้นตอน คำอธิบาย ข้อความ หรือคำพูด ที่ใช้ในอัลกอริทึม (Algorithm) เพราะการนำเสนอขั้นตอนของงานให้เข้าใจตรงกัน ระหว่างผู้เกี่ยวข้อง ด้วยคำพูด หรือข้อความทำได้ยากกว่า





2.สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเขียนผังงาน
  ตอบ.

สัญลักษณ์ Flowchart คำว่า Flowchart มักนำไปใช้ในทางโปรแกรม กล่าวคือสำหรับคนที่ศึกษาเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจ Flowchart กันเสียก่อน วันนี้บล็อกสัญลักษณ์ของเรา เลยได้นำเสนอ สัญลักษณ์ต่างๆ ที่ใช้ใน Flowchart แสดงกระบวนการทำงานต่างๆ ความหมายต่างๆ ของสัญลักณ์ใน Flowchart นั่นเอง มาดูกันเลยครับ ว่าสัญลักษณ์แต่ละอันนั้นหมายความว่าอย่างไรในที่นี้ขอนำเสนอในรูปแบบ ภาพประกอบ นะครับ เพื่อนๆ สามารถอ่านและดูตามภาพประกอบได้เลยครับ




3.การเขียนผังงาน/ตัวอย่าง
  ตอบ.1.ผังงานการต้มบะหมี่สำาเร็จรูป

          2.ผังงานหาพื้นที่สี่เหลี่ยม

         3.ผังงานตัดสินผลการเข้าร่วมกิจกรรม




วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

ใบงานที่ 4

ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
1.การถ่ายถอดความคิดในการแก้ปัญหาด้วยอัลกอริทึม(การเขียนรหัสจำลอง) หมายถึงอะไร?
  ตอบ.การเขียนรหัสจำลอง (Pseudo Code) คือการเขียนอัลกอริทึมโดยใช้ประโยคภาษาอังกฤษที่สื่อความหมายง่าย ๆ สามารถอ่านแล้วเข้าใจได้โดยทันที แต่ก็สามารถใช้รูปแบบที่เป็นภาษาพูดด้วยภาษาไทยและภาษาอังกฤษก็ได้โครงสร้างของรหัสจำลองเริ่มต้นด้วยข้อความ Begin แล้วอธิบายขั้นตอนการทำงานโดยใช้คำสั่งต่าง ๆ ที่ใกล้เคียงกับภาษาคอมพิวเตอร์ในการเขียนโปรแกรม เช่น
คำสั่ง read หมายถึง การอ่านค่าหรือรับค่าข้อมูลตัวแปรตามที่กำหนดไว้
คำสั่ง print หมายถึง การแสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณ
และพิมพ์ข้อความ End เมื่อจบการทำงานการเขียนรหัสจำลองจะต้องมีการวางแผนสำหรับการอ้างอิงถึงข้อมูลที่จะต้องนำไปใช้ภายในโปรแกรมด้วยการสร้างตัวแปร โดยใช้เครื่องหมายเท่ากับ (= ) แทนการกำหนดค่าตัวแปร
2.เครื่องมือที่ใช้ในการจำลองความคิดมีอะไรบ้าง
  ตอบ.มักจะประกอบขึ้นด้วยเครื่องหมายที่แตกต่างกันหลายอย่าง แต่พอสรุปได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
1. การจำลองความคิดเป็นข้อความหรือคำบรรยาย (Algorithm)
เป็นการเขียนเค้าโครงด้วยการบรรยายเป็นภาษาที่มนุษย์ใช้สื่อสารกัน เพื่อให้ทราบถึงขั้นตอนการทำงานของการแก้ปัญหาแต่ละตอน ในบางครั้งอาจใช้คำสั่งของภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรมก็ได้
2. การจำลองความคิดเป็นสัญลักษณ์หรือผังงาน (Flowchart)
สัญลักษณ์ คือ เครื่องหมายรูปแบบต่างๆ ซึ่งใช้สำหรับสื่อสารความหมายให้เข้าใจตรงกัน สถาบันมาตรฐานแห่งชาติอเมริกา ได้กำหนดสัญลักษณ์ไว้เป็นมาตรฐานแล้ว สามารถนำไปใช้ได้ตามความเหมาะสมต่อไป
3.การเขียนรหัสจำลองทำอย่างไร
การเขียนรหัสจำลอง
รหัสลำลองหรือ pseudocode เป็นคำบรรยายที่เขียนแสดงขั้นตอนวิธี(algorithm) ของการเขียนโปรแกรม โดยใช้ภาษาที่กะทัดรัด สื่อสารกับโปรแกรมเมอร์ผู้เขียนโปรแกรม โดยอาจใช้ภาษาที่ใช้ทั่วไปและอาจมีภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมประกอบ แต่ไม่มีมาตรฐานแน่นอนในการเขียน pseudocode และไม่สามารถนำไปทำงานบนคอมพิวเตอร์โดยตรง(เพราะไม่ใช่คำสั่งในภาษาคอมพิวเตอร์) และไม่ขึ้นกับภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาใดภาษาหนึ่ง นิยมใช้ pseudocodeแสดง algorithm มากกว่าใช้ผังงาน เพราะผังงานอาจไม่แสดงรายละเอียดมากนักและใช้สัญลักษณ์ซึ่งทำให้ไม่สะดวกในการเขียน เช่นโปรแกรมใหญ่ ๆ มักจะประกอบด้วยคำสั่งต่างๆที่ใกล้เคียงกับภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมจริงๆ เช่น begin…end, if…else, do…while, while, for, read และ print การเขียนรหัสจำลองจะต้องมีการวางแผนสำหรับการอ้างอิงถึงข้อมูลต่างๆที่จะใช้ในโปรแกรมด้วยการสร้างตัวแปร โดยใช้เครื่องหมายเท่ากับ (=) แทนการกำหนดค่าให้กำหนดตัวแปรนั้นๆ
การเขียนผังงาน
ผังงาน (flowchart) คือ แผนภาพซึ่งแสดงลำดับขั้นตอนของการทำงาน โดยแต่ละขั้นตอนจะถูกแสดงโดยใช้สัญลักษณ์ซึ่งมีความหมายบ่งบอกว่า ขั้นตอนนั้น ๆ มีลักษณะการทำงาน ทำให้ง่ายต่อความเข้าใจ ว่าในการทำงานนั้นมีขั้นตอนอะไรบ้าง และมีลำดับอย่างไร



ประเภทของผังงาน

1. ผังงานระบบ (system flowchart)เป็นผังซึ่งแสดงขอบเขต และลำดับขั้นตอนการทำงานของระบบหนึ่ง ๆ
2.ผังงานโปรแกรม (Program flowchart)เป็นผังงานซึ่งแสดงลำดับขั้นตอนการทำงานของโปรแกรมหนึ่ง ๆ












วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558

กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ

1.ความหมาย
  ตอบ. กระบวนการเทคโนโลยี (Technological Process). คือ  ขั้นตอนการแก้ปัญหาหรือตอบสนองต่อความต้องการซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากทรัพยากรให้เป็นผลผลิตหรือผลลัพธ์ระบบเทคโนโลยีประกอบด้วยกระบวนการเทคโนโลยีก่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอย ตามที่มนุษย์ต้องการและเปลี่ยนแปลงการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมต่างๆของมนุษย์  เพราะมนุษย์มีความต้องการในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆในการดำรงชีวิต  ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาที่อาจเกิดจากการประดิษฐ์คิดค้นต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้น และบางครั้งปัญหาอาจเกิดการผลิตสิ่งของต่างๆไม่ตรงตามความต้องการไม่ได้คุณภาพจึงต้องมีการออกแบบ เพื่อจะนำมาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว.
ความสำคัญของกระบวนการทางเทคโนโลยี.
1. เป็นพื้นฐานปัจจัยจำเป็นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์.
2. เป็นปัจจัยหลักที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนา.
3. เป็นเรื่องราวของมนุษย์ และธรรมชาติ



2.กระบวนการเทคโนโลยีมีกี่ขั้นตอน
 ตอบ.กระบวนการเทคโลยีสารสนเทศมี6ขั้นตอน
1.การรวบรวมข้อมูล
วิธีการดำเนินการ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล และบันทึกข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเพื่อการประมวลผล เช่น บันทึกในแฟ้ม เอกสาร บันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์ จดบันทึกไว้ในสมุด เป็นต้น
2.การตรวจสอบข้อมูล
ขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลในลักษณะต่างๆ เช่น การตรวจสอบ เพื่อหาข้อผิดพลาด ความน่าเชื่อถือ ความสมเหตุสมผล เพื่อให้มีความมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่ได้รับการรวบรวมและบันทึกไว้อย่างถูกต้อง
3.การประมวลผลข้อมูล
หมายถึง วิธีการดำเนินการกระทำข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ ข้อมูล การประมวลผลสารสนเทศข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริงที่เป็นตัวเลข ข้อความ รูปภาพ เสียง ที่เกี่ยวกับคน สัตว์ สิ่งของ หรือเหตุการณ์ต่างๆหรือสิ่งที่ยอมรับว่าเป็นความจริง สำหรับใช้เป็นหลักอนุมาน
สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลที่ได้ผ่านกระบวนการประมวลผล หรือจัดระบบแล้ว เพื่อให้มีความหมายและคุณค่าสำหรับผู้ใช้ เช่น ปริมาณการขายสินค้าแต่ละตัว จำแนกตามเขตการขาย
การนำข้อมูลไปประมวลผลมีด้วยกันหลายวิธี แต่มีวิธีง่ายๆ
สำหรับนักเรียนที่จะใช้ศึกษาในเบื้องต้น 4 วิธีคือ
1. การจัดเรียง คือ การนำข้อมูลหลาย ๆ ข้อมูลมาจัดเรียงลำดับตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น จัดเรียง ข้อมูลชื่อตามตัวอักษร จัดเรียงข้อมูลคะแนนจากมากไปหาน้อย เป็นต้น
2. การหาค่าเฉลี่ย คือ การนำเอาข้อมูลมาเฉลี่ย เช่น การนำเอาคะแนนสอบรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศมาหาค่าเฉลี่ยเป็นต้น
3. การเปรียบเทียบ คือ การนำเอาข้อมูลประเภทเดียวกันมาเปรียบเทียบเพื่อหาค่าแตกต่างหรือความเหมือนกัน
4. การหาแนวโน้ม คือ การนำเอาข้อมูลประเภทเดียวกันมาเปรียบเทียบตามระยะเวลา เช่นนำคะแนนของนักเรียนคนหนึ่งมาเปรียบเทียบกับคะแนนของตนเองในช่วงการสอบย่อยในช่วงของการสอบย่อยต่าง ๆ
4.การจัดเก็บข้อมูล
การเก็บรักษาข้อมูลเพื่อการบริหาร โดยเก็บไว้ในรูปแบบต่างๆ
5.การคิดวิเคราะห์
ขั้นตอนการดำเนินการ เพื่อสรุปความสำคัญของข้อมูลสารสนเทศให้ตรงสภาพที่เป็นจริงตรงตามวัตถุประสงค์ก่อนที่จะนำข้อมูลมาใช้
6.การนำข้อมูลไปใช้
การนำข้อมูลไปใช้ในลักษณะต่างๆ



3.การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
   ตอบ.ไม่ว่าเราจะทำงานใดก็ตาม ปัญหาเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ การแก้ปัญหามีหลายวิธี ขึ้นกับชนิดของาน วิธีการแก้ปัญหาอย่างหนึ่งอาจแก้ปัญหาอีกอย่างหนึ่งไม่ได้ และการแก้ปัญหาอาจจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น จึงควรยึดหลักการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้เสียเวลา หลงทาง และสับสน วิธีการแก้ปัญหาแต่ละวิธีมีความเหมาะสมกับงานแตกต่างกันไป ก่อนที่จะใช้วิธีแก้ปัญหา ด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ จะขอยกวิธีการแก้ปัญหาอย่างมีขั้นตอนโดยทั้วไป มาให้พิจารณาดูจำนวนหนึ่ง
การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อนด้วยวิธีการต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ส่วนมากจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้าช่วยเพื่อเพิ่มความรวดเร็ว ถูกต้อง และสามารถทำซ้ำได้ง่ายในกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าช่วยแก้ปัญหา จำเป็นต้องปรับรูปแบบวิธีการทำงานให้เหมาะสมกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
วิธีการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นวิธีคล้ายกับการแก้ปัญกาทางวิศวกรรมมาก แต่ในการนำระบบคอมพิวเตอร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานใดๆ ก็ตาม จะต้องมีการวิเคราะห์ปัญหาและศึกษาความเป็นไปได้ให้รอบคอบเสียก่อน ทั้งนี้เนื่องจากคอมพิวเตอร์ไม่ใช้เครื่องมือวิเศษที่จะแก้ปัญหได้ทุกเรื่อง
นอกจากนี้ยังจะต้องมีการศึกษาถึงความคุ้มค่าในการลงทุน เพื่อไม่ให้เป็นการลงทุนที่เสียเปล่า ต้องเลือกวิธีการแก้ปัญหาให้เหมาะสมกับงาน จัดหาเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ไม่เกินความจำเป็น
การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เหมาะกับระบบงานที่ต้องทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งซากและมีปริมาณงานมากหรืองานที่ต้องการความรวดเร็วในการคำนวณเกินกว่าคนธรรมดาจะทำได้ วิธีการโดยทั้วไปคือ ปรับเปลี่ยนวิธีการหรือระบบการทำงานแบบเดิม มาใช้ระบบงานที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยทำงานเป็นบางส่วน หรือทั้งหมด เท่าที่สามารถจะทำแทนคนได้

วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

1.ภาษาคอมพิวเตอร์หมายถึง?

ตอบ.ภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึง ภาษาใดๆ ที่ผู้ใช้งานใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ด้วยกัน แล้วคอมพิวเตอร์สามารถทำงานตามคำสั่งนั้นได้ คำนี้มักใช้เรียกแทนภาษาโปรแกรม แต่ความเป็นจริงภาษาโปรแกรมคือส่วนหนึ่งของภาษาคอมพิวเตอร์เท่านั้น และมีภาษาอื่นๆ ที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น HTML เป็นทั้งภาษามาร์กอัปและภาษาคอมพิวเตอร์ด้วย แม้ว่ามันจะไม่ใช่ภาษาโปรแกรม หรือภาษาเครื่องนั้นก็นับเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งโดยทางเทคนิคสามารถใช้ในการเขียนโปรแกรมได้ แต่ก็ไม่จัดว่าเป็นภาษาโปรแกรม


ภาษาคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ ภาษาระดับสูง (high level) และภาษาระดับต่ำ (low level) ภาษาระดับสูงถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานง่ายและสะดวกสบายมากกว่าภาษาระดับต่ำ โปรแกรมที่เขียนถูกต้องตามกฎเกณฑ์และไวยากรณ์ของภาษาจะถูกแปล (compile) ไปเป็นภาษาระดับต่ำเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถนำไปใช้งานหรือปฏิบัติตามคำสั่งได้ต่อไป ซอฟต์แวร์สมัยใหม่ส่วนมากเขียนด้วยภาษาระดับสูง แปลไปเป็นออบเจกต์โค้ด (object code) แล้วเปลี่ยนให้เป็นชุดคำสั่งในภาษาเครื่อง


ภาษาคอมพิวเตอร์อาจแบ่งกลุ่มได้เป็นอีกสองประเภทคือ ภาษาที่มนุษย์อ่านออก (human-readable) และภาษาที่มนุษย์อ่านไม่ออก (non human-readable) ภาษาที่มนุษย์อ่านออกถูกออกแบบมาเพื่อให้มนุษย์สามารถเข้าใจและสื่อสารได้โดยตรงกับคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ) ส่วนภาษาที่มนุษย์อ่านไม่ออกจะมีโค้ดบางส่วนที่ไม่อาจอ่านเข้าใจได้


2.ภาษาคอมพิวเตอร์มีกี่ระดับ อะไรบ้าง?

ตอบ.ภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึง โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่โปรแกรมเมอร์เขียนเพื่อใช้สั่งงานตามรูปแบบและโครงสร้างของภาษาซึ่งแบ่งได้ 3 ระดับดังนี้คือ

1. ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language)

2. ภาษาระดับกลาง (Medium Level Language)

3. ภาษาระดับสูง (High Level Language)


3.จงเขียนชื่อภาษาคอมพิวเตอร์มา 5 ข้อ?1.C : ภาษาสมับใหม่ เป็นภาษาที่ใช้สำหรับเขียนโปรแกรมระบบปฎิบัติการ เหมาะสำหรับโปรแกรมเมอร์ที่มีความสามารถสูง

2.ALGOL : เป็นภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรมด้านวิทยาศาสตร์

3.LISP : เป็นภาษาที่ใช้เมื่อประมวลผลด้านสัญลักษณ์, อักขระ,หรือคำต่างๆ ซึ่งเป็นการได้ตอบระหว่างคนกับคอมพิวเตอร์ ภาษานี้นิยมใช้เขียนโปรแกรมด้านปัญญาประดิษฐ์

4.Pilot : เป็นภาษาโปรแกรมที่นิยมใช้มากที่สุดในการเขียนโปรแกรมบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI) เช่น งานเกี่ยวกับคำสั่ง ฝึกหัด การทดสอบ เป็นต้น

5.Forth : เป็นภาษาสำหรับงานควบคุมแบบทันที เช่นการแนะนำกล้องดาราศาสตร์ และเป็นภาษาโปรแกรมที่มีความเร็วสูง